พุ ท ธ ป ร ะ วั ติ :
พุทธประวัติโดยสังเขป (๕) |
ทรงโปรดช้างนาฬาคีรี
ครั้งหนึ่งพระพุทธองค์ประทับอยู่ที่พระเวฬุวันวิหาร
กรุงราชคฤห์ เช้าวันหนึ่งขณะ
ที่พระพุทธองค์เสด็จออกบิณฑบาตในกรุงราชคฤห์
พระเทวทัตศิษย์ทรยศของพระพุทธองค์ได้ติดสินบนควาญ
ช้างให้ปล่อยช้างนาฬาคีรีเพื่อทำร้ายพระพุทธองค์ตามแผนการ
แต่ด้วยเมตาจิตของพระพุทธองค์
ช้างตกมันก็
หายพยศ
กลับคุกเข่าลงหมอบลงตรงพระพักตร์พระพุทธองค์
ถวายพระเพลิงพระบรมศพพระพุทธบิดา
ครั้งหนึ่งพระพุทธองค์ประทับอยู่ที่กูฏาคารศาลา
ป่ามหาวัน ใกล้
เมืองเวสาลี แค้วนวัชชี
ทรงจำพรรษา ณ ที่นี้เป็นพรรษาที่
๕
ครั้งนั้นพระพุทธองค์ทรงทราบว่าพระเจ้าสุโธท
นะ
ทรงประชวรหนักจึงเสด็จเยี่ยมพระพุทธบิดาที่กรุงกบิลพัสดุ์
พร้อมด้วยพระอริยสงฆ์พุทธสาวก
ครั้นเสด็จ
ถึงแล้วได้ทรงแสดงธรรมโปรดพระพุทธบิดาให้ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์
หลังจากนั้น ๗ วัน พระพุทธบิดาก็
สวรรคต
พระพุทธองค์พร้อมด้วยพระสงฆ์และพระประยูรญาติจึงพร้อมกันจัดถวายพระเพลิงพระบรมศพพระ
พุทธบิดา
พระมหาโมคคัลลานะ
อัครสาวกถูกประทุษร้าย
การที่พระพุทธองค์ได้ประดิษฐานพระพุทธศาสนาลงมั่นคง
ในมัธยมประเทศ
(ภาคกลางชมพูทวีป)
และแพร่หลายไปในที่ต่างๆอย่างรวดเร็วนั้น
ก็ด้วยการร่วมกำลังกันเผย
แพร่ของพุทธบริษัทที่สำคัญคือ
พระสงฆ์ พุทธสาวก
และบรรดาพระสงฆ์สาวกนั้น
ที่สำคัญที่สุดก็คือ พระอัคร
สาวกทั้ง ๒ คือ พระสารีบุตรเถระ
และพระมหาโมคคัลลานะเถระซึ่งเป็นกำลังสำคัญยิ่งใหญ่ของพระพุทธองค์
จึงเป็นที่อิจฉาริษยาของมิจฉาทิฏฐิเป็นอย่างยิ่ง
โดยเฉพาะพระมหาโมคคัลลานะผู้มีฤทธิ์มากนั้นมีผู้ปองร้ายอยู่
ตลอดเวลา
ครั้งหนึ่งเมื่อท่านจำพรรษาอยู่ที่กาฬศิลา
แคว้นมคธ
ก็ได้ถูกกลุ่มอาชญากรประทุษร้ายด้วยการว่าจ้าง
ของกลุ่มมิจฉาทิฏฐิ
แม้พระพุทธศาสนาจะได้เจริญแพร่หลายแล้ว
จำนวนพุทธสาวกได้เพิ่มขึ้น
พุทธบริษัทมากมายจนนับไม่ถ้วน
ถึงกระนั้น
พระพุทธองค์ก็มิได้ทรงหยุดยั้งในการทรงบำเพ็ญพุทธกิจ
คงเสด็จจาริกไปแสดงธรรมโปรดประชา
ชนทั่วไปตลอดเวลา ๔๕ พรรษา
นับแต่พรรษาแรกที่ป่าอิสิปตนะมฤคทายวัน
แขวงเมืองพาราณสี จนพรรษาสุด
ท้ายที่หมู่บ้านเวฬุคาม
แขวงเมืองเวสาลี ณ ที่นี้
และพรรษาสุดท้ายนี้
พระพุทธองค์ก็ทรงประชวรหนักแต่ทรง
ข่มเสีย ด้วยพระสติสัมปชัญญะ
ครั้นออกพรรษาแล้วล่วงวันเพ็ญเดือนมาฆะ
พระพุทธองค์จึงทรงปลงพระชน
มายุสังขาร คือ
ทรงกำหนดพระทัยเรื่องพระชนมายุว่าต่อแต่นี้ไปอีก
๓ เดือน พระองค์จักปรินิพพาน
ต่อแต่นั้นมา
พระพุทธองค์ก็เสด็จจาริกโปรดเวไนยไปในที่ต่างๆ
จนเสด็จถึงเมืองปาวา
เข้าประทับที่สวนมะ
ม่วงของนายจุนทะ
บุตรนายช่างทอง
ได้เสวยพระกายาหารมื้อสุดท้ายที่นายจุนทะถวาย
ทรงแสดงธรรมโปรด
นายจุนทะให้เลื่อมใสในพระพุทธศาสนา
แล้วทรงอำลานายจุนทะ
เสด็จดำเนินต่อไป
ผ่านสถานที่ต่างๆไปโดยลำ
ดับจนถึงป่าสาลวัน
เขตเมืองกุสินารา
รับสั่งพระอานนท์ให้ปูลาดที่บรรทมระหว่างต้นสาละคู่หนึ่ง
ให้หันพระ
เศียรไปทางทิศอุดร
แล้วประทับสำเร็จสีหไสยา คือ
การบรรทมตะแคงขวาเป็นอนุฏฐานไสยา
คือ การบรรทม
โดยมิได้ทรงกำหนดว่าจะทรงลุกขึ้นเมื่อนั้น
เมื่อนี้ ณ
ตอนบ่ายวันเสด็จถึงนั้น
และในคืนวันนั้น สุภัททะปริพาชก
ได้มาเฝ้าขออุปสมบทเป็นพระสาวกองค์สุดท้ายของพระพุทธองค์ต่อจากนั้นพระองค์ก็ได้ประทานพระโอวาท
แก่ภิกษุสงฆ์ครั้นถึงยามสุดท้ายแห่งวันเพ็ญเดือนวิสาขะ
ก็เสด็จดับขันธปรินิพพาน
ครั้นรุ่งเช้า
เมื่อข่าวการเสด็จปรินิพพานของพระพุทธองค์ทราบถึงพวกมัลลกษัตริย์และชาวเมืองกุสินาราแล้ว
กษัตริย์
และประชาชนก็ได้พากันมานมัสการพระบรมพุทธสารีระแสดงความโศรกเศร้าอาลัยโดยทั่วหน้า
ครั้น
ล่วงไป 7 วันแล้ว
จึงเชิญพระบรมศพไปประดิษฐาน ณ
มกุฎพันธนเจดีย์
เพื่อถวายพระเพลิงเมื่อพระมหากัสสป
เถระ พร้อมด้วยบริวารมาถึง
และที่ประชุมพร้อมแล้ว
จึงได้พร้อมกันถวายพระเพลิงครั้น
ถวายพระเพลิงเสร็จ
แล้วพวกมัลลกษัตริย์เมืองกุสินาราก็ได้รวบรวมพระบรมสารีริกธาตุที่เหลืออัญเชิญไป
ประดิษฐานไว้ ณ สัณฐา
คารศาลาภายในพระนครเพื่อเป็นที่สักการบูชาสืบไป
ต่อมามีกษัตริย์และพราหมณ์ตามเมืองต่างๆ
ได้มาขอพระ
บรมธาตุ
กล่าวคือกษัตริย์เมืองราชคฤห์
เมืองเวสาลี เมืองกบิลพัสดุ์
เมืองอัลลกัปปะ เมืองรามคาม
พราหมณ์
เมืองเวฏฐทีปกะ และเมืองปาวา
มัลลกัษตริย์ก็แจกจ่ายถวายโดยทั่วกัน
ส่วนโทณพราหมณ์ เมืองกุสินารา
ผู้ทำ
หน้าที่แบ่งพระบรมธาตุ
ได้ทะนานตวงพระธาตุไว้เป็นสักการบูชา
|
ตอนที่ [1] [2] [3]
[4] [5]
กลับไปหน้าแรก | พุทธประวัติ
| พุทธศาสนสุภาษิต
|