|
เป็นที่รู้ ๆ
กันอยู่ว่าศาสนาเอกในโลกที่มีผู้คนนับถือมากที่สุดมีอยู่
๓ ศาสนาด้วยกันคือ ศาสนาคริสต์
อิสลาม และศาสนาพุทธ
ซึ่งมีผู้นับถือมากน้อยรองลงมาตามลำดับ
ถึงแม้ว่าพระพุทธศาสนาของเราจะมีผู้นับถือรองลงมาจากศาสนาอื่น
ๆ
ก็ตามแต่ศาสนาพุทธก็ยังเป็นที่ยอมรับของคนโดยทั่วไป แม้แต่นักวิทยาศาสตร์เอกของโลกอย่างโรเบริต์ ไอน์สไตน์ เป็นต้น ยังยอมรับในพระพุทธศาสนาว่ามีคำสอนตรงกับหลักความจริงมากที่สุด และได้กล่าวถึงพระธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้าของเราว่าเป็นสิ่งที่ท้าทายต่อมุมมองของนักวิทยาศาสตร์หลาย ๆ ท่านด้วยกัน เพราะฉะนั้น พระพุทธศาสนาจึงไม่ได้มีข้อย่อยไปจากศาสนาอื่นที่มีอยู่ในโลกซึ่งล้วนแล้วแต่ต้องการสอนให้ทุกคนเป็นคนดี
แต่ที่จะกล่าวต่อไปนี้คือ
พระพุทธศาสนาในยุคปัจจุบัน
ทุกวันนี้อาจกล่าวได้ว่า
ผู้คนเริ่มหนีห่างออกจากพระพุทธศาสนา
ซึ่งแตกต่างจากคนในสมัยก่อนที่มองอาณาจักรศาสนาเป็นอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่
ผู้คนในสมัยก่อนจะมองวัดเป็นศูนย์รวมทางด้านจิตใจ
และความคิด
ไม่ว่าเรื่องใดก็แล้วแต่ที่เกิดขึ้นในสังคม
พระจะเป็นผู้นำทางด้านความคิดและจิตวิญญาณชี้แนะแนวทางในการดำเนินชีวิตของผู้คนในสังคมนั้น
ๆ
ผู้คนในสมัยก่อนจึงมองพระว่าเป็นเหมือนประหนึ่ง
ผู้นำทางสังคม ฉะนั้น
ผู้คนในสมัยอดีตกับปัจจุบันจึงมองพระพุทธศาสนาต่างกัน
และถึงแม้ว่าผู้คนในสมัยปัจจุบันจะให้ความสำคัญต่อพระพุทธศาสนาไม่เหมือนกับผู้คนในสมัยก่อนก็ตาม
พระพุทธศาสนาก็ยังคงความเป็นสิ่งที่สำคัญต่อพุทธศาสนิกชนผู้เลื่อมใสศรัทธาอยู่ไม่ว่าจะอดีตหรือปัจจุบัน
ยังคงความเป็นศาสนาที่มีผู้คนนับถืออยู่ทั่วโลก
และเป็นที่พึ่งทางใจสำหรับทุกคนที่ยอมรับในพระพุทธศาสนาและคำสอนของสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า
ตราบใดที่พระพุทธศาสนายังตั้งมั่นอยู่ไม่ครบ
๕,๐๐๐ ปีตามพุทธพยากรณ์
ตราบนั้นพระพุทธศาสนาก็จะยังคงมีผู้คนนับถือและให้ความสำคัญอยู่เรื่อยไป
บางทีอาจมีผู้กล่าวว่าพระพุทธศาสนาเสื่อม
แต่ความจริงแล้วพระพุทธศาสนาไม่ได้เสื่อมหายไปไหน
ที่เสื่อมจริง ๆ
คือจิตใจของผู้คน
เพราะในยุคปัจจุบันเป็นยุคที่โลกมีความเจริญก้าวหน้าทางด้านวัตถุมาก
จนทำให้ผู้คนยึดติดกับวัตถุมากกว่าการที่จะมาปรับสภาพทางจิตใจให้เจริญไปพร้อมกับโลก. |
กลับไปหน้าแรก | พุทธประวัติ | พุทธศาสนสุภาษิต | ลานเสวนาธรรม
พระพุทธศาสนาในอดีตแนวคิดของข้าพเจ้า |
อาณาจักรพุทธศาสนาในสมัยอดีตต้องยอมรับว่าเป็นที่ยอมรับของคนโดยทั่วไปในสังคมของเราชาวพุทธ
คนในสมัยอดีตต่างยกย่องให้วัดเป็นศูนย์รวมทางจิตใจในหลาย
ๆ ด้าน
บ้านกับวัดจึงผูกเกลียวแน่นสัมพันธ์ลึกซึ้งกันดีเรื่อยมา
เมื่อวัดมีงานชาวบ้านก็มาช่วย
เมื่อทางหมู่บ้านมีงานก็มานิมนต์พระไปช่วย
ต่างก็ช่วยพึ่งพาอาศัยกันเห็นความสำคัญของกันและกันตลอดมา
จนกระทั่งผู้คนเริ่มให้ความสำคัญแก่วัดน้อยลง
วัดจึงไม่ค่อยมีบทบาทในการช่วยสร้างสรรค์พัฒนาสังคมมากนัก
และถ้าเกิดวัดเข้าไปมีส่วนร่วมมากเกินไปก็กล่าวหาว่าพระเข้ามาวุ่นวาย
ฉะนั้น ถ้ามองโดยรวมแล้ว
คนในสมัยนี้จึงไม่ค่อยเห็นความสำคัญของพระมากนัก
จะเห็นความสำคัญก็ต่อเมื่อมีงานแล้วมานิมนต์พระให้ไปช่วย
จะนึกถึงพระก็ต่อเมื่อมีเรื่องเกิดขึ้นให้ท่านช่วย
ทุกวันนี้ที่เห็นว่าวัดพอจะเป็นศูนย์รวมของชุมชนได้ก็มีอยู่ตามบ้านนอกสังคมแถบชานเมืองเราเท่านั้น
อาณาจักรศาสนาของเราเคยรุ่งเรืองมาตั้งแต่สมัยพ่อขุนรามคำแหงซึ่งทรงเป็นผู้รับเอาพระพุทธศาสนาจากลังกา แบบเถรวาท ซึ่งเรียกกันว่า "ลัทธิลังกาวงศ์" เข้ามาเป็นศาสนาประจำชาติ ให้คนไทยเราได้นับถือเพื่อเป็นเครื่องขัดเกลาจิตใจ และก็ทรงเป็นกษัตริย์พระองค์แรกที่เข้าบวชในบวรพระพุทธศาสนาถวายพระองค์เองเป็นพุทธมามกะ และเป็นแนวทางให้พระมหากษัตริย์ทุก ๆ พระองค์ในประเทศไทยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันถือเป็นหลักปฏิบัติสืบมาจนกระทั่งทุกวันนี้ เพราะฉะนั้น จึงถือได้ว่าพระพุทธศาสนาเป็นเรื่องที่สำคัญ ที่เราชาวพุทธทุกคนควรเอาใจใส่ดูแลทำนุบำรุงรักษาไว้เพื่อเป็นมรดกสืบต่อไปจนชั่วลูกชั่วหลาน เพราะถือได้ว่าพระพุทธศาสนา เป็นแหล่งรวมศิลปะ วัฒนธรรมที่สำคัญแห่งหนึ่งของเรา ถึงเวลาแล้วที่พุทธศาสนิกชน ทุกคนควรหันกลับมาดูสิ่งอันมีค่าประจำชาติของเรา พระพุทธศาสนาเป็นทั้งเครื่องขัดเกลากิเลส เป็นทั้งเครื่องช่วยพัฒนาจิตใจยกระดับของมนุษย์เราให้สูงขึ้น อย่าปล่อยให้อาณาจักรพระพุทธศาสนาต้องเสื่อมสูญเพราะพวกเราไม่เห็นความสำคัญอีกเลย ช่วยกันหันมามองสักนิดแล้วท่านจะเห็นความจริงที่ปรากฏอยู่ในสังคม
|
กลับไปหน้าแรก | พุทธประวัติ | พุทธศาสนสุภาษิต | ลานเสวนาธรรม